วันอังคารที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2557

เกษียณ อาจไม่ดีอย่างที่คิด

"เกษียณ" คนส่วนใหญ่เมื่อคิดถึงคำคำนี้จะคิดว่าต้องอายุ 60 เท่านั้นถึงจะ "เกษียณ" ได้ แต่ความจริงอันน่าโหดร้ายมันอยู่ที่ อายุ 60 นั้นแหละครับ
คุณเคยสงสัยไหมว่า "ทำไมคนเราต้องเกษียณที่อายุ 60 ปี ?" ถ้าหากเราจะเกษียณที่อายุ 40 ปี เราผิดหรือไม่ คำตอบคือ "ไม่ผิด" ครับ แต่ความจริงอันน่าโหดร้ายอยู่ตรงที่ เมื่อเราอายุ 60 ปี หรือเรียกสั้นๆและตรงๆว่า "แก่" แล้วนั่นแหละ

คุณเคยคิดไหมครับว่าถ้าเกษียณไปแล้วคุณจะไปทำอะไร และที่สำคัญคือคุณทำมันไหวหรือไม่ ตอนอายุ 60 ปีนั้นจะแตกต่างกับอายุ 40 ปี อย่างสิ้นเชิงเลยครับ อยากไปเที่ยวตอนเกษียณ อ้อตอนที่แทบจะไม่มีแรงเที่ยวน่ะหรอครับ 

บางคนทำงานเยอะจนเสียสุขภาพพอเกษียณก็เอาเงินที่หามาทั้งชีวิตไปใช้รักษาตัวเองตอนอายุ 60 ปี ใช่ครับ ความจริงส่วนใหญ่เป็นแบบนี้ แต่เราก็ยังเกษียณตอนอายุ 60 ปี อยู่ดี เพราะอะไรหรอครับ ก็เพราะว่าคนส่วนใหญ่ไม่อยากแตกต่างจากคนอื่นยังไงล่ะครับ และที่สำคัญเลยคือสังคมทั่วโลกส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนั้นคือ เกษียณอายุ 60 ปี

เคยได้ยินคำพูดนี้ไหมครับ "อยากทำอะไรก็ทำ อายุยังน้อย เดียวแก่ไปแล้วจะไม่ได้ทำ" จริงๆผมอยากจะเปลี่ยนตอนท้ายให้เป็น "ถึงอยากทำก็ทำไม่ได้" มากกว่า เพราะว่าไม่มีแรงที่จะทำแล้วนั้นเอง จริงๆความโหดรร้ายของการเกษียณที่อายุ 60 นั้นยังมีอีกหลายเรื่อง แต่แค่เรื่องนี้เรื่องเดียวก็น่ากลัวแล้วใช่ไหมครับ ถ้าคำตอบคือใช่คุณต้องหาทางทำอะไรซักอย่างแล้ว

ระวังหลุมพรางของคนส่วนใหญ่ไว้ให้ดีนะครับ ถ้าอยากเกษียณก่อนอายุ 60 ลองดูว่างานที่คุณกำลังทำอยู่นั้นมันให้คำตอบคุณรึยัง วิธีก้อง่ายๆเลยครับ ให้ดูคนที่ทำงานสายเดียวกับคุณ ขยันเหมือนคุณในอีก 5 - 10 ปี ข้างหน้า ถ้าเขาเป็นแบบไหนคุณก็จะเป็นแบบเขาครับ เพราะว่าคุณทำเหมือนเขา สายงานเดียวกับเขา และถ้าคุณแล้วว่าเขาเป็นแบบไหน และคุณชอบที่จะเป็นแบบเขาหรือไม่ ถ้าไม่ ผมว่าคุณต้องเปิดโอกาส และหาสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่ทำซะแล้วล่ะครับ

คุณทำได้ครับ แค่ไม่เคยทำเท่านั้น และไปฟังคนส่วนใหญ่ที่บอกว่ามันไม่ดี เป็นไปไม่ได้ ลองคิดดูว่าเครื่องบินหนักเป็นตันๆยังบินอยู่บนท้องฟ้าได้เลย แล้วที่คนสมัยก่อนนั้นบอกว่าเป็นไปไม่ได้นั้นอยู่ตรงไหนครับ ? ทุกอย่างเป็นไปได้ครับ จริงไหม!!

สำหรับผู้ที่อยากพัฒนาคุณภาพชีวิต คลิกที่นี่

วันศุกร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

เป้าหมายและสิ่งรอบข้าง

โลกนี้เต็มไปด้วยสิ่งที่พยายามแย่งความสนใจของเรา ใจเราจึงพร้อมจะวอกแวกได้ตลอดทั้งวัน
ตื่นมาเจอข่าวในทีวี คนนั้นทำสิ่งนี้ คนนี้ทำสิ่งนั้น ออกจากบ้านเจอแต่โฆษณาล้อมรอบตัว 
ซื้อฉันหน่อยสิ เธอมีหรือยัง? 


อยู่นิ่งไม่ได้ ต้องปัดจอมือถือเพื่ออ่านไลน์ 
กรุ๊ปมีเป็นสิบ ข้อความไม่ได้อ่านเป็นร้อย
ไหนจะต้องอ่าน fb อ่านเมนต์ของคนนั้นคนนี้ 
โพสต์รูปเที่ยว รูปของกินลง IG
เช็คอีเมลอีกนิด ดูยูทูปอีกหน่อย จะได้ไม่ตกเทรนด์

สักพักโทรศัพท์ก็ดังเป็นเสียงเพลง ต้องรับอีก
โทรมาเรื่องงานบ้าง โทรมาเม้าท์มอยบ้าง
อะไรหนังเรื่องใหม่เข้าแล้ว หนังสือเล่มนั้นก็ยังไม่ได้อ่าน
แล้วคืนนี้ละครเรื่องอะไรนะ ต้องดูซะหน่อย

ครับ! เขียนมาซะยืดยาว
แค่อ่านก็ยังเหนื่อยใจ แล้วชีวิตจริงจะไม่เพลียยังไงไหว?

ถ้าไม่หลอกตัวเอง ก็คงจะเห็นเหมือนกับที่ผมเห็นว่
"คนที่ไม่วางแผนชีวิตนั้น แทบไม่มีวันประสบความสำเร็จได้เลย"
เพราะทุกวันมันจะมีแต่ "เรื่องไม่สำคัญ" มาดึงความสนใจของเรา
และแน่นอน ผมหมายถึงมันดึง "เวลา" เราไปด้วย

จึงไม่แปลกใจว่า
คนส่วนใหญ่จะยังไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
ทั้งที่ตอนนี้เราใช้เวลาของปี 2557 ไปแล้วถึง 37%

"แล้วทำไมถึงไม่เป็นชิ้นเป็นอัน?"
ผมถามต่อและขอตอบให้เลย
"ก็เพราะเราไม่รู้ว่าเป้าหมายของเราในปี 2557 คืออะไร" ไงครับ

"แล้วทำไมเราถึงไม่รู้ว่าเป้าหมายของเราในปี 2557 คืออะไร?"
ผมถามต่อและขอตอบเองอีกที
"ก็เพราะเราไม่รู้ว่าเป้าหมายของชีวิตเราคืออะไร" ไงครับ

"ผมไม่มีเป้าหมายในชีวิตครับพี่ ทำไงดี?"
ผมตอบให้เลย
ก็ต้องออกไปลองทำอะไรใหม่ๆ ไปเจอโลกภายนอก
เสร็จแล้วต้องกลับมานั่งคุยกับตัวเอง มาเจอโลกภายใน
ทำแบบนี้เป็นประจำ แล้วจะเจอคำตอบเองว่า
"เป้าหมายในชีวิตของเราคืออะไร?"

เรื่องเป้าหมายชีวิตเป็นเรื่องที่ต้องค้นหากันทั้งชีวิตครับ
ถ้าเจอคำตอบแล้ว เราจะเหมือนได้ GPS ไว้นำทาง
ใจเราจะวอกแวกน้อยลง
ใครที่ไม่มีเป้าหมาย ก็จะถูกดึงออกนอกเส้นทางบ่อยๆ
เพราะสิ่งยวนใจมันเยอะ

แต่ใครที่มีเป้าหมาย
เมื่อจบวัน เราจะประเมินได้ว่า
วันนี้ทั้งวัน เราได้ทำอะไรที่ทำให้เราเข้าใกล้เป้าหมายหรือยัง?
จากวันจะต่อเป็นเดือน จากเดือนจะต่อเป็นปี
และจากปี จะถักทอเป็นชีวิตของเรา

เมื่อวันสุดท้ายของชีวิตมาถึง
เราจะได้มองย้อนกลับไปแล้วไม่ต้องเสียใจว่า
ที่ผ่านมา เราไม่น่าปล่อยชีวิตลอยไปลอยมาอย่างนี้เลย

ที่สุดวันนึงทุกคนก็ต้องตาย
การได้เกิดมาแล้วอยู่อย่างมีเป้าหมายจึงคุ้มค่ากว่า
หาให้เจอสิครับว่า "เป้าหมายชีวิตของคุณคืออะไร?"

อย่ามัวแต่วอกแวกคิดเรื่องอื่นสิครับ
ผมถามคุณว่า
"เป้าหมายในชีวิตของคุณคืออะไร?"


Credit facebook page : Boy's Thought's

สำหรับผู้ที่อยากพัฒนาคุณภาพชีวิต คลิกที่นี่


วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ปรับจุดโฟกัสของชีวิต

ทุกวันนี้คุณโฟกัสเรื่องอะไรอยู่ เรื่องไม่ดีเรื่องลบๆ หรือว่าสิ่งดีๆเรื่องบวกๆ ไม่ว่าจะเราโฟกัสสิ่งใดสิ่งนั้นจะเข้ามาหาเราเรื่อยๆ และไม่หยุดยั้งจนกว่าเราจะเปลี่ยนจุดโฟกัสของเราไป



สิ่งที่ผมประสบมากับตัวเองเลยคือ มีอยู่ช่วงนึงผมโฟกัสแต่รถเบนซ์ ไม่ว่าผมจะออกไปไหน หรือว่าอยู่ในรถกลางท้องถนน ผมจะเห็นแต่รถเบนซ์เยอะมากๆ จนต้องคิดว่า "เอ๋ มีคนรวยเพิ่มขึ้นหรือมีคนมีตังเพิ่มขึ้นมากขนาดนี้เลยหรอ"

แต่พอผมเปลี่ยนจุดโฟกัสใหม่เป็นรถธรรมดาๆ เชื่อไหมครับรถเบนซ์ได้หายไปอย่างรวดเร็ว ผมเจอรถเบนซ์น้อยมากเพียงแค่ 1-3 คัน ซึ่งผมเองก็แปลกใจเพราะว่าเมื่อเร็วๆนี้วันๆนึงต้องเจออย่างน้อย 10-20 คัน

ตอนแรกผมเองก็ไม่รู้ตัวว่าผมโฟกัสแบบนี้แต่พอตอนช่วงหลังจากที่ผมตั้งสติและค้นพบกับความมหัศจรรย์นี้ ผมเลยลองโฟกัสไปที่ความคิดแทน ไม่ว่าจะทำงาน ออกไปข้างนอก หรือไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามผมจะโฟกัสแต่สิ่งดีๆ

ถ้าจะถามว่ามีเรื่องไม่ดีเข้ามาไหม คำตอบคือมีครับ แต่ผมไม่เลือกที่จะโฟกัสมัน และไปโฟกัสเรื่องดีๆแทน อย่างเช่น ที่ผ่านมาเร็วๆนี้ได้มีลมพายุพัดแรงมาก จนต้นไม้ในบ้านผมหักลงมา 1 ต้น และรอบๆบ้านก็มีต้นไม้ต้นอื่นๆ ล้มมาพิงกำแพงหรือเอนมาโดนหลังคาบ้าน

ผลลัพท์มีอย่างเดียวคือต้องออกไปทำความสะอาด และเก็บกวาดต้นไม้ที่หัดและล้มเข้ามาในบ้านใช่ไหมครับ แต่ถ้าผมโฟกัสเรื่องลบๆ มันจะออกมาแบบนี้ "วันนี้ซวยจริงๆ พายุเข้า ต้นไม้ก็หักแถมยังต้องมาคอยตัดต้นไม้รอบๆบ้านอีก สวนก็รกเพราะพายุอีก"

แต่ถ้าเราโฟกัสเรื่องดีๆจะได้ "กำลังคิดจะทำความสะอาดสวนพอดี โชคดีจริงๆที่พายุพัดเข้ามา ทำให้รู้ว่าต้นไม้ต้นไหนในสวนอ่อนแอ ต้อนไม้รอบๆบ้านมันก้อขึ้นรกล่ะ ถือโอกาสตัดและทำความสะอาดเลยก็ล่ะกัน"

เห็นไหมครับว่าโฟกัสแบบไหนดีกว่ากัน และคิดแบบไหนมีพลังที่จะทำงานมากกว่ากัน และถ้าผมถามว่าคนส่วนใหญ่คิดแบบไหน ? คำตอบที่ได้คือแบบลบหรือแบบที่ไม่ให้พลังนั้นเอง แต่ถ้าเขารู้และหัดคิด หัดโฟกัสเรื่องดีๆ ให้พลังในการดำเนินชีวิตประจำวัน คุณว่าเขาจะคิดไหมครับ ? คำตอบคือถ้าเขารู้ เขาจะคิดแบบให้พลังแน่นอน แล้วทำไมเขาไม่คิดล่ะ ก็เพราะเขาไม่รู้ หรือเขารู้แต่เขาเคยชินกับความคิดแบบนั้นยังไงล่ะครับ

อย่าพึ่งเชื่อผม จนกว่าคุณจะได้ลองด้วยตัวคุณเอง แล้วพลังแห่งการดำเนินชีวิตจะเข้ามาหาคุณแบบไม่หยุดยั้งเลยครับ

สำหรับผู้ที่อยากพัฒนาคุณภาพชีวิต คลิกที่นี่


วันพุธที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ความโชคดีในชีวิตของคนเรา

ทุกวันนี้พวกเราพูดคำว่า "โชคดี" บ่อยแค่ไหน และพวกเราพูดคำว่า "โชคร้าย" บ่อยแค่ไหน ทั้ง 2 คำนี้คุณพูดคำไหนบ่อย ชีวิตคุณจะเป็นแบบนั้น ลองสังเกตุดูสิครับ



ยิ่งคุณพูดคำว่า "โชคร้าย" มากเท่าใดโชคร้ายจะมาหาคุณมากขึ้นเท่านั้นและส่วนใหญ่ก็จะเป็นแบบนั้นจริงๆ ทำไมน่ะหรอครับ ก็เพราะคุณเป็นคนคิด และเอ่ยปากเรียกมันมาหาคุณเองนิครับ

ถ้าคุณอยากทำให้ชีวิตคุณมีความสุข ยิ้มและสนุกได้ทุกวัน ให้เปลี่ยนคำว่า "โชคร้าย" ที่คุณพูดบ่อยๆเป็น "โชคดี" สิครับ

ลองสังเกตุคนที่ประสบความสำเร็จหรือคนที่ร่ำรวย แล้วคุณจะได้ยินคำว่า "ผมโชคดีที่ผ่าน.......มาได้" ส่วนใหญ่พวกเขาจะขึ้นต้นประโยคด้วยคำว่า "ผมโชคดีที่...." บ่อยมากๆ แล้วเขาก็โชคดีร่ำรวยและประสบความสำเร็จจริงๆ

จากจุดที่ผมสังเกตุได้ข้างต้น มันทำให้เกิดความคิดที่ต่อยอดไปอีกขั้นนึงทำให้ผมสังเกตุได้อีกว่า 

"คนสำเร็จนั้น เก่งมองเรื่องในอดีตเป็นประสบการณ์ และเก่งในคิดว่าจะต้องมีเรื่องดีๆเกิดขึ้น ต้องมีเรื่องดีๆเข้ามาในชีวิตแน่นอน"

กลับกันนั้น

"คนส่วนใหญ่ เก่งมองเห็นแต่เรื่องร้ายๆในอดีต และเก่งในการคาดการณ์ว่าเรื่องร้ายๆจะเข้ามาในชีวิต"

คุณเคยได้ยินประโยค "เกลียดอะไรได้อย่างนั้น" ไหม รู้ไหมครับว่าทำไมมันถึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะว่าเวลาเราเกลียดอะไร เราไม่ยอมทิ้งมันไปจาก "ความคิด" เราเลย

เมื่อเราไม่ยอมทิ้งมัน ก็ทำให้เราคิดวนๆอยู่นั้นแหละ ว่าจะต้องเจอสิ่งที่เกลียดอีกแน่ๆ แล้วคุณก็จะเจอจริงๆ ทำไมน่ะหรอครับ ก็เพราะ "คุณเป็นคนคิด และเอ่ยปากเรียกมันมาหาคุณเอง" ใช่ไหมล่ะครับ

ลองเอาคำว่าโชคร้ายและเรื่องไม่ดีต่างๆออกไปจากความคิดเรา แล้วใส่คำว่าโชคดีและเรื่องดีๆเข้าไปแทน และพูดคำว่า "ผมโชคดีที่..." "ชั้นโชคดีที่....." หรือคิดในใจว่า "โชคดีจริงๆที่เจอ/พบ/คุย/เปลี่ยนใจ...."

โลกนี้ไม่มีอะไรน่ากลัวเท่าความคิดคนเราหรอกครับ เพราะใครก็บงการเราไม่ได้ เท่าความคิดของเราเอง คิดให้ทุกข์คุณจะได้รับความทุกข์ก็จะกลับมา คิดให้สบายใจคุณจะได้รับความสบายใจกลับมา

ผมโชคดีจริงๆครับ ที่ได้มาเขียน Blog หรือบทความดีๆที่นี่ Happy Business Thinking ครับ

สำหรับผู้ที่อยากพัฒนาคุณภาพชีวิต คลิกที่นี่


วันจันทร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

พลังแห่งความฝัน

คุณคิดว่าความฝันสำคัญไหม คุณเคยมีความฝันไหม ถ้ามีความฝันแล้วคุณฝันใหญ่หรือฝันเล็ก แล้วคุณเคยทำตามความฝันของคุณได้แค่ไหน


เมื่อสมัยเด็กเราเคยฝันอยากที่จะบินได้ อยากเป็นหมอ อยากเป็นฮีโร่ต่างๆ มากมายใช่ไหมครับ แต่คุณเคยสงสัยไหมครับ ว่าพอโตขึ้นมาความฝันเหล่านั้นหายไปไหน บางคนทำแต่งานจนลืมความฝันของตัวเอง บางคนก็ผิดหวังจนไม่กล้าที่จะฝันอีก เรื่องนี้มันมีที่มาครับ

ลองนึกย้อนวัยไปในสมัยเด็กดู ว่าคุณเคยฝันที่จะเป็นอะไรบ้าง โดยไม่ต้องสนใจเรื่องราวในปัจจุบันนะครับ แล้วลองนึกดูว่าตอนที่คุณได้ฝันนั้นมีความสุข รู้สึกสนุกขนาดไหน จนจำความรู้สึกนั้นไว้นะครับ

ตอนเด็กเราเคยฝันใหญ่ แต่ทำไมพอโตขึ้นมาความฝันเราถึงเล็กลง หรือบางคนไม่กล้าที่จะฝันด้วยซ้ำ เรื่องของเรื่องคือ "ความจริง" และ "ความคิดลบ" จากสังคมรอบข้างที่เข้ามาในชีวิตนั้นเอง

เมื่อเราต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่เรียกว่า "ความจริง" และมี "ความคิดลบ" เป็นตัวกระตุ้น และคนส่วนใหญ่จะเจอคำว่า "ทำไม่ได้" หรือสมัยนี้มีคำว่า "มโน" เข้ามาเกี่ยวข้อง มันเลยเป็นที่มาของคำว่า "ลดขนาดฝันลง" และบางคนถึงกับ "ไม่กล้าที่จะฝัน"

"ความจริง" ที่ผมกล่าวมาข้างต้นคือ "เงินเดือน" "ลักษณะงานที่ทำ" "เวลาว่าง" และอื่นๆ ที่เป็นกรอบครอบตัวเราอีกที บวกกับภาวะทางสังคมที่ส่วนใหญ่คิดลบ ถึงไม่แปลกที่เราเลือกที่จะ "ลดขนาดความฝันลง" ให้เท่ากับ "เงินเดือน" "เวลาว่าง" และปัจจัยอื่นๆ 

โดยส่วนมากคนส่วนใหญ่จะคิดว่า "แค่นี้ก็อยู่ได้" ชีวิตของเขาถึงอยู่แค่นั้น เพราะว่าคำว่า "แค่นี้ก็อยู่ได้" ทำให้สมองพอใจและไม่คิดที่จะหาทางออกเพิ่ม หรือทำให้ชีวิตนั้นดีขึ้นกว่าเดิม

หากเราลองคิดว่า "เราทำได้ดีกว่านี้" "ตอนนี้ก็ดีอยู่ แต่เราอยากดีขึ้นกว่านี้" สมองเราจะคิดหาทางโดยอัตโนมัติว่า เราต้องทำอย่างไร ถึงจะได้ตามที่เราคิด ยิ่งเรามี "ความฝัน" แบบไม่จำกัดขนาด ตั้ง "เป้าหมาย" แบบกำหนดเวลาไว้ และให้ "กำลังใจ" แก่ตัวเองโดยไม่ย่อท้อต่อความฝันและเป้าหมายที่กำหนดไว้ คุณจะไปถึงฝันแน่นอน

แต่ระหว่างทางก็ต้องมีอุปสรรคแน่นอน แต่อุปสรรคหรือปัญหาเหล่านั้น ไม่ใช่สิ่งที่เรียกว่า "ของตาย" เพราะหากคุณแก้มันได้สำเร็จ และปัญหาเดิมมาเข้ามาอีก คุณจะก้าวข้ามไปแบบสบายๆเลย เมื่อคุณก้าวข้ามไปแบบสบายๆมันจะกลายเป็นแค่ "ถนนสายนึง" ที่พาคุณไปสู่ความสำเร็จในเรื่องนั้นๆ

"ความฝัน" เป็นของ "ฟรี" ที่ "ใครๆ" ก็ฝันได้ อย่าลดขนาดความฝันของตัวเอง เมื่อคุณฝันเป็น ฝันโดยไม่สนใจข้อจำกัดใด ให้เอามันมาตั้งเป็น "เป้าหมาย" แล้วทำตามเป้าหมายอย่างไม่ย่อท้อแล้ว "วิธีการ" มันจะมาเอง

เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง สามารถพิสูจน์ได้จาก "พี่น้องตระกูลไรท์" พวกเขามีความฝันที่จะบินได้ และพวกเขาอยากบินขึ้นไปบนท้องฟ้าจริงๆ เมื่อพวกเขามีความฝัน จึงนำมาตั้งเป็นเป้าหมายและทำตามอย่างไม่ย่อท้อ ตอนนั้นพวกเขาไม่รู้วิธีการหรอกครับ แต่เมื่อเขาต้องการที่จะทำให้มันเป้นจริง วิธีการจึงมาหาพวกเขา 

และในที่สุดพวกเขาก็บินได้จริงๆ หากพวกเขาไม่กล้าฝันที่จะบินในตอนนั้น โลกเราในตอนนี้ก็คงไม่มีเครื่องบินอย่างแน่นอน จริงไหมครับ

จำไว้นะครับ "ความฝันเป็นของฟรี ฝันใหญ่หรือฝันเล็กก็ฟรี ทำไมเราถึงไม่ฝันใหญ่ๆไปเลยล่ะ"

สำหรับผู้ที่อยากพัฒนาคุณภาพชีวิต คลิกที่นี่


วันศุกร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

พลังแห่งความคิดบวก

คิดบวก เป็นการฝึกสมองอย่างนึง เช่นเดียวกับการคิดลบ ก็เป็นการทำให้สมองไม่ทำงานความคิดนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่างครับ เช่น รวยจน อาชีพ และสิ่งอื่นๆอีกมากมาย

คุณอาจจะสงสัยว่า "อ่าวถ้าความคิดเป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง ทุกคนก็คงรวยไปหมดแล้วสิ เพราะคิดที่จะรวยง่ายมากๆ" เรื่องนี้มีที่มาครับ ทั้งนี้ผมจะยกตัวอย่างที่ผมเคยประสบมาด้วยตัวเอง

เมื่อ 4-5 ปีก่อน ผมทำงานเป็นพนักงานประจำอยู่บริษัทแห่งหนึ่ง ทุกๆวันผมจะต้องตื่นแต่เช้า ฝ่ารถติดไปทำงาน พักกลางวันก็ลงมาทานข้าว เลิกงานก็ฝ่ารถติดกลับบ้าน ชีวิตผมเป็นอยู่แบบนี้ประมาณครึ่งปีครับ จนกระทั้งผมเบื่อกับการทำงานแบบนี้

จุดเปลี่ยนอยู่ตรงที่ เมื่อเบื่อแล้วจะทำยังไงล่ะถึงจะหายเบื่อ ย้ายที่ทำงาน ? หรือย้ายสายงาน ? หรือออกมาทำธุรกิจเป็นของตัวเอง ? แล้วถ้าออกมาทำจะทำอะไรดีล่ะ ต้องเป็นสิ่งที่แตกต่าง สิ่งใหม่ๆจะได้ขายได้ ? แล้วถ้ามันขายไม่ได้แล้วเจ้งล่ะ ต้องเป็นหนี้อีก เห็นส่วนใหญ่บอกว่า 80% ของ SME ต้องปิดตัวลงภายใน 4-5 ปีแรกเลยนะ

สุดท้ายผมก็คิดไม่ออกเพราะกลัวเปิดแล้วเจ้ง เลยลองย้ายบริษัทแต่ยังอยู่ในสายงานเดิม สุดท้ายพอผมทำไปได้อีก 3 เดือนผมก็เบื่ออีก

เห็นภาพไหมครับผมคิดว่า "ถ้าขายไม่ได้" นั้นเป็นพลังของความคิดลบและมี "ความกลัวเจ้ง" เป็นตัวพลักดัน เมื่อมีความกลัวเป็นตัวพลักดัน ก็เเหมือนเป็นเชื่อไฟให้ความคิดลบทำงานต่อไปเรื่อยๆ จนสมองคิดหาทางออกไม่ได้ สุดท้ายเลยต้องกลับมาทำงานแบบเดิมแค่ย้ายบริษัทก็เท่านั้น

แต่ความกลัวสามารถทำให้หายไปได้ด้วย "ความรู้และข้อมูล" ตัวอย่างเช่น หากคุณจะเดินไปที่มืดๆภายในบ้านคนเดียว คุณคงกลัวที่จะชนข้าวชนของเพราะความมืด แต่ถ้าหากคุณเปิดไฟความกลัวจะหายไป เคยสงสัยไหมครับเพราะอะไร นั้นก็เพราะว่าคุณ "รู้" ว่าอะไรมันวางอยู่ตรงไหนเพราะคุณเห็นข้าวของของคุณ ใช่ไหมครับ

ผมเปรียบเทียบความคิดลบนั้นเป็นความมืด ความคิดบวกนั้นก็คงเป็นแสงสว่างนั้นเอง ทุกวันนี้คุณอยู่ในบ้านที่มืด หรือบ้านที่เปิดไฟสว่างทั้งบ้านครับ ? มาต่อกัน

หลังจากที่ผมเกิดอาหารเบื่อครั้งที่สอง ผมจึงเดินเข้าร้านหนังสือ เพื่อหาความรู้เพิ่มเติมหรือทำการเปิดไฟที่ล่ะดวงในความคิดของผม จนผมได้อ่านหนังสือจบไปจำนวนหลายเล่ม แต่เล่มโปรดของผมมีชื่อว่า The Secret

ครั้งแรกที่ผมซื้อมาอ่านจนจบ ผมคิดว่า "แค่ความคิดเนี้ยนะ จะเปลี่ยนชีวิตทั้งชีวิต ไม่มีทาง คนเขียนบ้าไปแล้วแน่ๆ" แต่ทุกวันนี้ผมเชื่อแล้วครับ ว่าความคิดสามารถเปลี่ยนชีวิตได้จริงๆ

เพราะว่าหลังจากนั้นผมก็คิดตลอดว่าอยากเปิดร้านขายของซักร้านโดยไม่สนใจความกลัวเจ้งหรืออื่นๆ เชื่อไหมครับ 1 เดือนหลังจากนั้นผมก็สามารถเปิดร้านได้จริงๆ และผมยังมีโอกาสได้เข้าไปอบรมหรือสัมนาต่างๆ มีเพื่อนเป็นเจ้าของธุรกิจมากมาย และที่สำคัญมันฟรีหรือถูกมากๆด้วย ทุกวันนี้ชีวิตผมมีแต่เรื่องสนุก ไม่น่าเบื่ออีกต่อไป

ผมถึงแปลกใจและนึกย้อนกลับไปตอนนั้นว่า "น่าจะเชื่อตั้งนานแล้วว่า ความคิดเปลี่ยนชีวิตได้จริงๆ"

สำหรับคนที่อยากทดลอง ผมแนะนำแบบนี้นะครับ 
1. หากระดาษมา 1 แผ่น
2. เขียนสิ่งที่คุณต้องการให้มันเป็นจริงภายใน 6 เดือนที่จะถึงนี้ เช่น อยากได้รถใหม่ อยากได้ทีวีใหม่ อยากได้แฟน(สำหรับคนโสดเท่านั้นนะ) ฯลฯ ตามที่ต้องการครับ วาดรูปหรือ print แปะก็ได้นะครับ เพื่อความชัดเจน
3. นำกระดาษแผ่นนั้น ไปแปะไว้ในห้องนอน ตรงไหนก็ได้ที่คุณตื่นมาแล้วคุณจะต้องเห็นมันทุกเช้า
4. เมื่อคุณเห็นกระดาษใบนี้ คุณต้องอ่านมันอย่างน้อย 1 รอบ และหลับตานึกถึงสิ่งที่คุณอยากได้ในกระดาษแผ่นนั้น นึกจนกว่าคุณจะรู้สึกว่าคุณเป็นเจ้าของมันจริงๆแล้ว มีความสุขที่ได้สัมพัสมันแล้ว จึงลืมตา แล้วกล่าวดังๆว่า "ขอบคุณ" ให้ความสุขเมื่อซักครู่นี้
5. คุณจะต้องรู้ตัวตลอดเวลาว่า "ห้ามคิดลบต่ออะไรก็ตามที่อยู่ในกระดาษแผ่นนั้น" เช่น เป็นไปไม่ได้ หรือ ชั้นก็เขียนๆมันไปเท่านั้น หรือ แค่อยากลองแต่มันไม่เป็นจริงหรอก
6. ทำข้อ 4-5 เป็นประจำทุกวัน แล้วรอดูผลลัพท์ครับ

ทั้งนี้แต่ล่ะคนอาจได้ไม่เท่ากัน เนื่องจากความคิดของคนเราไม่เหมือนกัน จึงต้องค่อยๆปรับ แต่เชื่อผมเถอะครับ มันได้แบบนั้นจริงๆนะ

สำหรับผู้ที่อยากพัฒนาคุณภาพชีวิต คลิกที่นี่


วันพุธที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

สมุดวิเศษ

ข้อความต่อไปนี้เป็นของคุณ "กล้า สมุทวณิช" นักเขียนมือรางวัลมากมาย ที่ได้ลองเขียนสิ่งที่อยากให้เกิดขึ้นในชีวิต และมันเป็นจริงในที่สุด ผมหวังว่ามันจะเป็นแรงบันดาลใจให้หลายคน ลองอ่านดูครับ


ผมเคยมองการคิดบวกว่า
เป็นเรื่องของพวกโลกสวยบนความเพ้อฝัน
ผมไม่คิดจะอ่านหนังสือพวก "สอนรวย" หรือ "ทำเงิน"
โอ้ย มันจะเป็นไปได้อย่างไร ไม่มีเหตุผลเลย
แค่ "คิดดี" ก็จะดึงดูดสิ่งดีๆเข้ามาได้แล้ว
ไม่เป็นวิทยาศาสตร์เลย ?

โอ้ย ถ้าใครๆทำตามได้ก็มีแต่คนรวย คนเก่ง เต็มประเทศแล้วซี ?
โอ้ย เหตุปัจจัยคนเราไม่เหมือนกันนะ ไม่เท่ากันนะ ?

ไอ้ "โอ้ย" ข้างบนน่ะผม "โอ้ย" มาหมดแล้วครับ...
ชีวิตผมตั้งแต่กลับจากฝรั่งเศสหลังจากผิดหวังจากการศึกษาปริญญาเอก ด้วยเหตุทุนหมดในปี 2553
ก็เลยได้ "โอ้ย" มันจริงๆ

การงาน การเงิน ครอบครัว ความก้าวหน้า ความสำเร็จ
ทุกอย่างผิดพลาดชะงักงัน ก็เพราะไอ้คิดแบบ "โอ้ยๆ" นั่นแหละ

วันหนึ่ง พี่บอยโพสต์เรื่อง "สมุดวิเศษ"
ที่ให้เราเขียนเรื่องดีๆ ที่อยากให้เกิดกับตัวเราไว้
แล้วลองเอามาดูอีกครั้ง จะพบว่ามันเป็นจริงได้

ผมเลยหยิบสมุดขึ้นมาเล่มหนึ่ง เป็นสมุดใช้แล้ว
(บางหน้าจดสูตรโหราศาสตร์ไว้อีกต่างหาก)
เอามาเขียนเป้าหมายลงไป

มีหลายเรื่องที่ผมคิดว่าไม่น่าจะทำได้
เช่น การเรียนขับรถ ซึ่งผมเคยเป็นคนกลัวรถยนต์
และการตอบสนองช้ามากๆ
จนเชื่อว่าตัวเองคงขับรถไม่ได้ในชีวิตนี้
หรือการสอบเนติบัณฑิต ที่ตอนนั้น สอบจนท้อครับ

ผมเลยเขียน "เรื่องดีๆ" เอาไว้เรื่องหนึ่ง คือ
"มิถุนายน 2557 ขับรถไปสอบปากเปล่า เนติบัณฑิต สมัย 66"

ในวันที่เขียน ผมสอบไม่ผ่าน ยังไม่ได้ไปเรียนขับรถ
แต่ไม่น่าเชื่อว่า ราวๆ หนึ่งปี ข้อความนี้เป็นจริงอย่างมหัศจรรย์
ผมมาสอบผ่านเนติบัณฑิตในสมัย 66 นี้จริงๆ ประกาศผลไปหมาดๆ สิ้นเดือนที่ผ่านมาก

แต่คนสอบได้น่ะคือผมนะ คนที่ไปหัดเรียนขับรถจนขับเป็น
(สอบใบขับขี่ได้รวดเดียวผ่านด้วยนะ !) ก็คือผมเอง
แล้วปาฏิหาริย์จากสมุด มันอยู่ตรงไหน ? มันทำงานตรงไหน?

เพราะทุกครั้งที่ผมรู้สึกไม่แน่ใจ ผมจะเปิดสมุดเล่มนี้
ผมบอกตัวเองว่า เฮ้ย เขียนแล้วมันต้องเป็นไปได้สิวะ
มันทำให้ผม "ไม่ท้อ" มันทำให้ผมยอมเสียค่าแท็กซี่ไปร่วมพัน
(ค่ารถแพงกว่าค่าสมัครอีก)
แถมเสียเวลาเรียนในคอร์ส "เขียนไม่กี่คำทำเงินกว่า"
ไปราวสองชั่วโมง เพื่อไปลงทะเบียนสอบในวันก่อนสุดท้าย
ทั้งๆที่ในใจคิดว่า "ไม่น่าสอบแล้ว อ่านไม่ทันหรอก ไว้ปีหน้าก็ได้"

ตอนนั้นผมคิดว่า
"ถ้าไม่ไปสมัคร ข้อความในสมุดจะไม่มีวันเป็นจริ
ถ้ามันจะไม่เป็นจริง ก็ให้มันไม่เป็นจริงเพราะผลที่เราควบคุมเองไม่ได้ดีกว่า"
นี่คือพลังที่แท้จริงของ "สมุดวิเศษ"

"สมุดวิเศษ" และข้อความของพี่บอย
ทำให้ผมเลิกดูถูกตัวเองว่าเป็นคนขี้แพ้
ทำให้ผมกล้ารับงานวิจัยชิ้นเล็กๆ ของสถาบันระดับชาติชิ้นหนึ่งมาท
ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ งานประเมินระดับซีหก ผมก็ยังทำไม่ผ่าน

พี่บอยมีความฝันว่า "อยากเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้คนมีชีวิตที่ดีขึ้น"
ผมจึงขอรายงานผล สิ่งที่ผมได้ลองแล้วพบว่า "ใช้แล้วบอกต่อ"
เผื่อใครที่คิดว่าชีวิตตกหล่ม
หรือมองไม่ออกว่า จะทำชีวิตให้ดีขึ้นได้อย่างไร

อย่าลืมครับ
"ถ้าคุณคิดว่า มันเป็นไปได้ มันก็จะเป็นไปได้
และคำพูดนี้ก็จะถูกต้อง
ถ้าคุณคิดว่า มันเป็นไปไม่ได้
มันก็จะเป็นไปไม่ได้ ข้อความนี้ก็จะถูกต้องอยู่ดี"


Credit facebook page : Boy's Thought's

สำหรับผู้ที่อยากพัฒนาคุณภาพชีวิต คลิกที่นี่


วันอาทิตย์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ความคิดไม่ใช่พรวรรค์ มันสามารถฝึกกันได้

ความคิดอยู่กับเราตั้งแต่เกิดจนตาย ความคิดมีทั้งดีและไม่ดี ความคิดให้ทั้งพลังใจและดูดพลังใจ ความคิดให้ทั้งความสุขและความทุกข์ ความคิดเป็นสิ่งกำหนดทุกอย่างที่จะเข้ามาในชีวิต

คุณเคยสังเกตุไหมครับ ว่าคิดสิ่งใดก็ได้สิ่งนั้น เช่น คุณเดินไปเห็นเสื้อผ้าสวยๆตัวนึง แล้วก็เกิดความคิดอยากได้ขึ้นมา เมื่อเกิดความอยากได้ ก็จะมีแรงกระตุ้นให้คิดว่า มันสวยนะ ราคาก็ไม่แพงนะ และอื่นๆอีกมากมาย สุดท้ายคุณก็จะได้เสื้อผ้าตัวนั้นมาจริงๆ ผมเชื่อว่าทุกคนต้องเคยมีเหตุการณ์แบบนี้ แค่คุณไม่ได้สังเกตุมันก็เท่านั้นเอง

แต่ความคิดที่ทรงพลังคือ "ความกลัว" ความกลัวสามารถเปลี่ยนชีวิตเราได้แม้กระทั้งสิ่งเล็กๆน้อยๆ เช่น คุณอยากได้เสื้อตัวนึง มันสวยมาก ราคาไม่แพง แต่ในขณะนั้นคุณมีตังที่พอดิบพอดีกับราคาเสื้อตัวนั้น ถ้าคุณซื้อคุณจะไม่มีตังกลับบ้าน ไม่มีตังทานข้าว คุณอาจเลือกที่จะไม่ซื้อมันก็ได้

และความคิดที่ทรงพลังพอๆกับความกลัวก็คือ "ความกล้า" ความกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง ลงมือทำบางสิ่งบางอย่าง เพื่อที่จะไล่ความกลัวออกไป แต่คนเรามักอยู่กับความกลัวมากกว่าความกล้า เพราะว่ามันมีสิ่งที่เรียกว่า "ความเคยชิน" เป็นตัวสนับสนุนความกลัวให้ทำงานอย่างเต็มที่นั้นเอง

ผมจะยกตัวอย่างให้เห็นแบบง่ายๆครับ
นายเอ ทำงานเป็น Programmer อยู่บริษัทนึง แต่เขารู้สึกไม่ชอบงานแบบนี้เลย เพราะรู้สึกเหมือนหุ่นยนต์ที่ทำงานหน้าคอมไม่ได้ไปไหนตั้งแต่เช้าจรดเย็น แต่จะให้ไปลงทุนเปิดร้านขายของก็กลัวเจ้ง กลัวขายไม่ได้ ฯลฯ จนสุดท้ายเมื่อเขามีความกลัวที่มากพอ เขาจะมองว่าไปเป็น Programmer บริษัทอื่นน่าจะสนุกกว่านี้ เพราะเขาทำงานสายนี้มาหลายปี เขาชินกับการทำงานแบบนี้ งานสาย Programmer คือก้อ Programmer วันยังค่ำ พอเขาย้ายบริษัทมาทำงานสายเดิมแบบเดิม สุดท้ายเขาก็จะไม่ชอบแบบเดิมอยู่ดี แต่ถ้าหากเขากล้าที่จะเปลี่ยนสายงาน ไปเปิดร้านขายของ ไปทำด้านการตลาด หรือด้านอื่นๆ แล้วเขาชอบขึ้นมา นายเออาจจะคิดว่า "รู้งี้ย้ายสายมานานแล้ว งานแบบนี้สนุกกว่าตั้งเยอะ"

ฉะนั้นจงอย่ากลัวที่จะทำสิ่งใหม่ๆให้กับชีวิตของเราเอง แม้มันอาจไม่ใช่สิ่งใหม่ๆบนโลกใบนี้ แต่ถ้ามันเป็นสิ่งใหม่และคิดว่าดีสำหรับตัวเรา มันก็น่าที่จะลองทำดูใช่ไหมครับ ไม่แน่นะสิ่งนั้นอาจเปลี่ยน อาจพลิกชรวิตของคุณเองก็ได้

ลองดูครับค่อยๆขับไล่ความกลัวออกไป ไม่ต้องไปสนใจความเคยชิน ถ้าสิ่งใหม่ๆเข้ามาในชีวิตและมันเป็นสิ่งที่ดีล่ะก็ขว้ามันไว้ ถ้ามันไม่สนุกก็ค่อยทิ้งมันไป ถ้าคิดที่จะกล้า ก็จะมีสิ่งใหม่ๆเข้ามาในชีวิตคุณเสมอ มันจะทำให้ชีวิตคุณสนุกและมีสีสันมากขึ้น "ความคิดไม่ใช่พรวรรค์ มันสามารถฝึกกันได้"

สำหรับผู้ที่อยากพัฒนาคุณภาพชีวิต คลิกที่นี่


วันเสาร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ความเป็นไป ของสังคมรอบข้าง

คนเราทุกวันนี้มีการศึกษาระดับปริญญากันมากขึ้น หรือง่ายๆก็คือมีความรู้มากขึ้น เมื่อมีความรู้มากขึ้น ก็มีความมั่นใจมากขึ้น เมื่อมีความมั่นใจมากขึ้น จึงมีคำพูดที่คนส่วนใหญ่ชอบพูดก้อคือ "ก็รู้อยู่แล้ว" "ชั้นรู้แล้ว" แต่หากแท้จริงแล้วคำพูดแบบนี้ เป็นคำพูดที่จะปิดกั้นความสามารถที่จะทำให้คนเรามองถึงสิ่งที่แตกต่างออกไป

คุณเคยสงสัยไหมครับว่า "ทำไม" คนส่วนใหญ่ถึงบอกว่าจบปริญญาตรีแล้วถึงจะได้งานดีๆ ได้ไปอยู่กับบริษัทใหญ่ๆ หรือไม่ก็ จะได้ทำงานราชการที่สวัสดิการดีๆ
บางท่านอาจเคยสงสัยแต่ก็อาจจะปล่อยผ่านไป แต่ส่วนใหญ่ไม่เคยสงสัยครับ หลายท่านอาจคิดว่า "แล้วมันเพราะอะไรกันล่ะ ?" คำตอบสั้นๆง่ายๆเลยครับ คือ "เพราะคนส่วนใหญ่คิดแบบนั้น
มนุษย์เราเป็นสัตว์สังคม และแน่นอนที่สุดคือเรื่องนี้ทุกคนรู้แต่ไม่เคยสงสัย สงสัยในสิ่งที่เรียกว่า "คนส่วนใหญ่" ใช่แล้วครับ เพราะว่าคนเราไม่ค่อยชอบที่จะทำอะไรที่แตกต่างนั้นก็เพราะว่า หากเราแตกต่างจากคนอื่นหรือจากสังคมรอบข้าง "ส่วนใหญ่" เขาจะมองเราเป็นตัวประหลาดครับ เพราะว่าทำในสิ่งที่คนอื่นเขาไม่ทำกัน เช่น
ถ้าเป็นเรื่องที่ไม่ดีก็เช่น 
- คนส่วนใหญ่ทำมาหากินสุจริต คนส่วนน้อยกลับเลือกที่จะเป็นโจร
- เรื่องที่คนส่วนใหญ่รู้ว่าไม่ดีเลยไม่ทำ แต่ก็ยังมีคนส่วนน้อยที่ทำ เช่น การสูบบุหรี่ แต่หากให้เด็กๆไปถามผู้ใหญ่สูบบุหรี่ จะเกิดอะไรขึ้นครับ ไปดูที่ Clip ด้านล่างนี้ 

ส่วนเรื่องที่ดีก็อย่างเช่น
- ตื่นเช้าไปทำงาน หากตื่นสายจะโดนว่าขี้เกียจ
- วันเทศกาลหยุดยาวๆต้องไปเที่ยวไปพักผ่อนตามต่างจังหวัด

ทั้งนี้ยังมีอีกหลายเรื่องที่ผมสังเกตุเห็นและแอบสงสัยว่า "ทำไม" พวกเขาถึงทำแบบนั้น จนได้คำตอบในที่สุดครับ นั้นก็คือ "คนส่วนใหญ๋" หรือ "สังคมรอบข้าง" ทำให้พวกเขาเป็นแบบนั้น คุณว่าจริงไหมครับ ? ถ้าคำตอบของคุณคือ "ไม่จริง" กดปิดหน้า web นี้ได้เลยนะครับ หากคำตอบคือ "จริง" กรุณาอ่านต่อด้านล่างได้เลยครับ คุณได้ผ่านการคัดเลือกด้านวิธีคิดมาแล้วระดับนึง

หลายท่านอาจเคยได้ยินคำว่า "คิดบวก" และหลายท่านก็บอกว่า "มันดี" แต่ทำไมส่วนใหญ่บอกว่า "ทำไม่ได้"
คำตอบคือเพราะ "คนส่วนใหญ่" หรือ "สังคมรอบข้าง" เขาคิดลบกันนั้นเอง ลองไปสังเกตุดูนะครับ ว่าทุกคนรอบๆตัวคุณในวันวันนึงนั้นพูดคำว่า "ไม่" กี่ครั้ง สำหรับผม เท่าที่ผมสังเกตุมานั้นมีคำว่า "ไม่" นั้นนับไม่ถ้วน
ผมจะยกตัวอย่างง่ายๆให้คุณเห็นภาพดังนี้
สมมุติคุณกำลังทำข้อสอบอยู่แต่บังเอิญมีอยู่ช่วงนี้อาจารย์เดินออกไปข้างนอกห้องสอบพอดี และมีข้อสอบข้อนึงที่คุณทำไม่ได้
ที่นั่งทางซ้ายเป็นคนที่ "เรียนเก่ง" ส่วนทางขวาเป็นคนที่ "สอบตก" คุณจะเลือกลอกใครครับ ? แน่นอนครับ ร้อยทั้งร้อย คำตอบคือลอกคนทางซ้าย หรือลอกคนเรียนเก่งใช่ไหมครับ นั้นเพราะว่าคุณรู้ว่าคนไหนเรียนเก่งคุณถึงไปลอกเขา
แต่ถ้าหากคุณไม่รู้ว่าคนซ้ายหรือคนขวา คนไหนเป็นคนที่เรียนเก่งว่ากันแน่ คุณก็จะเลือกลอกคนข้างๆคุณไม่ได้ จริงไหมครับ ?

ก็เหมือนกับการทำธุรกิจหรืองานอะไรซักอย่างให้สำเร็จ เช่น

ถ้าหากคุณต้องการเปิดร้านขายเสื้อผ้า แต่คุณไม่เคยมีความรู้ด้านนี้มาก่อน คุณจะไปปรึกษาใคร ระหว่างคนที่เปิดร้านขายเสื้อผ้าแล้วเจ้ง กับ คนที่เปิดร้านขายเสื้อผ้าแล้วรวย
ร้อยทั้งร้อยเลือกปรึกษากับคนที่เปิดร้านขายเสื้อผ้าแล้วรวย แต่ในชีวิตจริงพวกเขาทำยังไงครับ ? 
1.ลองผิดลองถูกเอง
2.คนส่วนใหญ่ปรึกษาคนที่เปิดร้านมาแล้วเจ้ง หรือ เปิดแล้วพออยู่รอด
3.คนส่วนน้อย ลงทุนไปเรียนการตลาดเพิ่มเติม และความรู้อื่นๆเพิ่มเติม

เห็นภาพไหมครับ เพราะคนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าเขาคิดลบอยู่ ไม่รู้ว่าเขากำลังคุยหรือปรึกษาผิดคน และอีกอย่างคือความเคยชินครับ เขาชินกับความคิดที่ติดลบ และเคยชินกับคำว่า "ก็พออยู่ได้" เขาเลยไม่กล้าที่จะออกมาจากความคิดนั้น ไม่เคยทำอะไรที่แตกต่าง เพราะหากออกมาทำแล้ว คนส่วนใหญ่ที่คิดลบจะมองเขาเป็นตัวประหลาดนั้นเอง นั้นคือสาเหตุที่ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่กล้าที่จะคิดบวก และทำสิ่งที่เรียกว่าแตกต่าง

จนทุกวันนี้มีคำใหม่ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่ามันมาจากไหน มันคือคำว่า "มโน" ครับ คนส่วนใหญ่ชอบเอาคำว่า "คิดบวก" "จินตนาการ" และ "มโนภาพ หรือ มโน" เข้าไปร่วมด้วยกัน มันเลยปนกันจนแยกไม่ออก
แท้จริงแล้วความหมายของคำ 3 คำนี้คือ

- "คิดบวก" เป็นแนวคิดที่ทำให้สบายใจ เป็นแนวคิดที่ใช้สำหรับแก้ปัญหาต่างๆ การคิดบวกจะทำให้สมองของคุณหาทางแก้ไขปัญหา หาโอกาสในวิกฤต และทำให้คุณมีความสุขด้วย
- "จินตนาการ" คือการคิดสร้างภาพในจิตใจหรือพลังของจิตที่สร้างภาพขันใหม่ภายในใจ ให้น่าพอใจกว่า สวยกว่า เป็นระเบียบกว่าหรือร้ายกาจกว่าสิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติทั่วไป 
- "มโนภาพ" คือความคิด  ความเข้าใจที่สรุปเกี่ยวกับการจัดกลุ่ม  สิ่งใดสิ่งหนึ่ง  หรือ  เรื่องใดเรื่องหนึ่งที่เกิดจากการสังเกต  หรือการได้รับประสบการณ์เกี่ยวกับสิ่งนั้นหรือเรื่องนั้น  แล้วใช้คุณลักษณะหรือคุณสมบัติที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน  จัดเข้าเป็นกลุ่มเดียวกัน  ซึ่งจะทำให้เกิดความเข้าใจสิ่งต่างๆได้ง่ายขึ้น

ดังนั้นหากคุณรู้แล้วว่ามันคืออะไร จงอย่านำมันไปรวมกันให้คนอื่นเขาสับสนอีกนะครับ ส่วนคนที่ไม่รู้ก็จงอธิบายให้เขาฟัง หากเขาไม่ฟังก็ปล่อยเขาไปครับ เพราะเขายินดีที่จะเข้าใจผิดๆแบบนั้นต่อไป และหากเขาคิดแบบนั้นคุณก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร จริงไหมครับ

ความแตกต่างเป็นที่ดีและไม่ดี จงแตกต่างในสิ่งที่ดี อย่ากลัวที่จะแตกต่าง แล้วความสุขจะไม่หนีไปไหนครับ และจงระวังสังคมรอบข้างที่จะเอาความคิดลบมาให้คุณนะครับ

สำหรับผู้ที่อยากพัฒนาคุณภาพชีวิต คลิกที่นี่