คนเราทุกวันนี้มีการศึกษาระดับปริญญากันมากขึ้น หรือง่ายๆก็คือมีความรู้มากขึ้น เมื่อมีความรู้มากขึ้น ก็มีความมั่นใจมากขึ้น เมื่อมีความมั่นใจมากขึ้น จึงมีคำพูดที่คนส่วนใหญ่ชอบพูดก้อคือ "ก็รู้อยู่แล้ว" "ชั้นรู้แล้ว" แต่หากแท้จริงแล้วคำพูดแบบนี้ เป็นคำพูดที่จะปิดกั้นความสามารถที่จะทำให้คนเรามองถึงสิ่งที่แตกต่างออกไป
คุณเคยสงสัยไหมครับว่า "ทำไม" คนส่วนใหญ่ถึงบอกว่าจบปริญญาตรีแล้วถึงจะได้งานดีๆ ได้ไปอยู่กับบริษัทใหญ่ๆ หรือไม่ก็ จะได้ทำงานราชการที่สวัสดิการดีๆ
บางท่านอาจเคยสงสัยแต่ก็อาจจะปล่อยผ่านไป แต่ส่วนใหญ่ไม่เคยสงสัยครับ หลายท่านอาจคิดว่า "แล้วมันเพราะอะไรกันล่ะ ?" คำตอบสั้นๆง่ายๆเลยครับ คือ "เพราะคนส่วนใหญ่คิดแบบนั้น"
มนุษย์เราเป็นสัตว์สังคม และแน่นอนที่สุดคือเรื่องนี้ทุกคนรู้แต่ไม่เคยสงสัย สงสัยในสิ่งที่เรียกว่า "คนส่วนใหญ่" ใช่แล้วครับ เพราะว่าคนเราไม่ค่อยชอบที่จะทำอะไรที่แตกต่างนั้นก็เพราะว่า หากเราแตกต่างจากคนอื่นหรือจากสังคมรอบข้าง "ส่วนใหญ่" เขาจะมองเราเป็นตัวประหลาดครับ เพราะว่าทำในสิ่งที่คนอื่นเขาไม่ทำกัน เช่น
ถ้าเป็นเรื่องที่ไม่ดีก็เช่น
- คนส่วนใหญ่ทำมาหากินสุจริต คนส่วนน้อยกลับเลือกที่จะเป็นโจร
- เรื่องที่คนส่วนใหญ่รู้ว่าไม่ดีเลยไม่ทำ แต่ก็ยังมีคนส่วนน้อยที่ทำ เช่น การสูบบุหรี่ แต่หากให้เด็กๆไปถามผู้ใหญ่สูบบุหรี่ จะเกิดอะไรขึ้นครับ ไปดูที่ Clip ด้านล่างนี้
ส่วนเรื่องที่ดีก็อย่างเช่น
- ตื่นเช้าไปทำงาน หากตื่นสายจะโดนว่าขี้เกียจ
- วันเทศกาลหยุดยาวๆต้องไปเที่ยวไปพักผ่อนตามต่างจังหวัด
ทั้งนี้ยังมีอีกหลายเรื่องที่ผมสังเกตุเห็นและแอบสงสัยว่า "ทำไม" พวกเขาถึงทำแบบนั้น จนได้คำตอบในที่สุดครับ นั้นก็คือ "คนส่วนใหญ๋" หรือ "สังคมรอบข้าง" ทำให้พวกเขาเป็นแบบนั้น คุณว่าจริงไหมครับ ? ถ้าคำตอบของคุณคือ "ไม่จริง" กดปิดหน้า web นี้ได้เลยนะครับ หากคำตอบคือ "จริง" กรุณาอ่านต่อด้านล่างได้เลยครับ คุณได้ผ่านการคัดเลือกด้านวิธีคิดมาแล้วระดับนึง
หลายท่านอาจเคยได้ยินคำว่า "คิดบวก" และหลายท่านก็บอกว่า "มันดี" แต่ทำไมส่วนใหญ่บอกว่า "ทำไม่ได้"
คำตอบคือเพราะ "คนส่วนใหญ่" หรือ "สังคมรอบข้าง" เขาคิดลบกันนั้นเอง ลองไปสังเกตุดูนะครับ ว่าทุกคนรอบๆตัวคุณในวันวันนึงนั้นพูดคำว่า "ไม่" กี่ครั้ง สำหรับผม เท่าที่ผมสังเกตุมานั้นมีคำว่า "ไม่" นั้นนับไม่ถ้วน
ผมจะยกตัวอย่างง่ายๆให้คุณเห็นภาพดังนี้
สมมุติคุณกำลังทำข้อสอบอยู่แต่บังเอิญมีอยู่ช่วงนี้อาจารย์เดินออกไปข้างนอกห้องสอบพอดี และมีข้อสอบข้อนึงที่คุณทำไม่ได้
ที่นั่งทางซ้ายเป็นคนที่ "เรียนเก่ง" ส่วนทางขวาเป็นคนที่ "สอบตก" คุณจะเลือกลอกใครครับ ? แน่นอนครับ ร้อยทั้งร้อย คำตอบคือลอกคนทางซ้าย หรือลอกคนเรียนเก่งใช่ไหมครับ นั้นเพราะว่าคุณรู้ว่าคนไหนเรียนเก่งคุณถึงไปลอกเขา
แต่ถ้าหากคุณไม่รู้ว่าคนซ้ายหรือคนขวา คนไหนเป็นคนที่เรียนเก่งว่ากันแน่ คุณก็จะเลือกลอกคนข้างๆคุณไม่ได้ จริงไหมครับ ?
ก็เหมือนกับการทำธุรกิจหรืองานอะไรซักอย่างให้สำเร็จ เช่น
ถ้าหากคุณต้องการเปิดร้านขายเสื้อผ้า แต่คุณไม่เคยมีความรู้ด้านนี้มาก่อน คุณจะไปปรึกษาใคร ระหว่างคนที่เปิดร้านขายเสื้อผ้าแล้วเจ้ง กับ คนที่เปิดร้านขายเสื้อผ้าแล้วรวย
ร้อยทั้งร้อยเลือกปรึกษากับคนที่เปิดร้านขายเสื้อผ้าแล้วรวย แต่ในชีวิตจริงพวกเขาทำยังไงครับ ?
1.ลองผิดลองถูกเอง
2.คนส่วนใหญ่ปรึกษาคนที่เปิดร้านมาแล้วเจ้ง หรือ เปิดแล้วพออยู่รอด
3.คนส่วนน้อย ลงทุนไปเรียนการตลาดเพิ่มเติม และความรู้อื่นๆเพิ่มเติม
ก็เหมือนกับการทำธุรกิจหรืองานอะไรซักอย่างให้สำเร็จ เช่น
ถ้าหากคุณต้องการเปิดร้านขายเสื้อผ้า แต่คุณไม่เคยมีความรู้ด้านนี้มาก่อน คุณจะไปปรึกษาใคร ระหว่างคนที่เปิดร้านขายเสื้อผ้าแล้วเจ้ง กับ คนที่เปิดร้านขายเสื้อผ้าแล้วรวย
ร้อยทั้งร้อยเลือกปรึกษากับคนที่เปิดร้านขายเสื้อผ้าแล้วรวย แต่ในชีวิตจริงพวกเขาทำยังไงครับ ?
1.ลองผิดลองถูกเอง
2.คนส่วนใหญ่ปรึกษาคนที่เปิดร้านมาแล้วเจ้ง หรือ เปิดแล้วพออยู่รอด
3.คนส่วนน้อย ลงทุนไปเรียนการตลาดเพิ่มเติม และความรู้อื่นๆเพิ่มเติม
เห็นภาพไหมครับ เพราะคนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าเขาคิดลบอยู่ ไม่รู้ว่าเขากำลังคุยหรือปรึกษาผิดคน และอีกอย่างคือความเคยชินครับ เขาชินกับความคิดที่ติดลบ และเคยชินกับคำว่า "ก็พออยู่ได้" เขาเลยไม่กล้าที่จะออกมาจากความคิดนั้น ไม่เคยทำอะไรที่แตกต่าง เพราะหากออกมาทำแล้ว คนส่วนใหญ่ที่คิดลบจะมองเขาเป็นตัวประหลาดนั้นเอง นั้นคือสาเหตุที่ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่กล้าที่จะคิดบวก และทำสิ่งที่เรียกว่าแตกต่าง
จนทุกวันนี้มีคำใหม่ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่ามันมาจากไหน มันคือคำว่า "มโน" ครับ คนส่วนใหญ่ชอบเอาคำว่า "คิดบวก" "จินตนาการ" และ "มโนภาพ หรือ มโน" เข้าไปร่วมด้วยกัน มันเลยปนกันจนแยกไม่ออก
แท้จริงแล้วความหมายของคำ 3 คำนี้คือ
- "คิดบวก" เป็นแนวคิดที่ทำให้สบายใจ เป็นแนวคิดที่ใช้สำหรับแก้ปัญหาต่างๆ การคิดบวกจะทำให้สมองของคุณหาทางแก้ไขปัญหา หาโอกาสในวิกฤต และทำให้คุณมีความสุขด้วย
- "จินตนาการ" คือการคิดสร้างภาพในจิตใจหรือพลังของจิตที่สร้างภาพขันใหม่ภายในใจ ให้น่าพอใจกว่า สวยกว่า เป็นระเบียบกว่าหรือร้ายกาจกว่าสิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติทั่วไป
- "มโนภาพ" คือความคิด ความเข้าใจที่สรุปเกี่ยวกับการจัดกลุ่ม สิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือ เรื่องใดเรื่องหนึ่งที่เกิดจากการสังเกต หรือการได้รับประสบการณ์เกี่ยวกับสิ่งนั้นหรือเรื่องนั้น แล้วใช้คุณลักษณะหรือคุณสมบัติที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน จัดเข้าเป็นกลุ่มเดียวกัน ซึ่งจะทำให้เกิดความเข้าใจสิ่งต่างๆได้ง่ายขึ้น
ดังนั้นหากคุณรู้แล้วว่ามันคืออะไร จงอย่านำมันไปรวมกันให้คนอื่นเขาสับสนอีกนะครับ ส่วนคนที่ไม่รู้ก็จงอธิบายให้เขาฟัง หากเขาไม่ฟังก็ปล่อยเขาไปครับ เพราะเขายินดีที่จะเข้าใจผิดๆแบบนั้นต่อไป และหากเขาคิดแบบนั้นคุณก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร จริงไหมครับ
ความแตกต่างเป็นที่ดีและไม่ดี จงแตกต่างในสิ่งที่ดี อย่ากลัวที่จะแตกต่าง แล้วความสุขจะไม่หนีไปไหนครับ และจงระวังสังคมรอบข้างที่จะเอาความคิดลบมาให้คุณนะครับ
สำหรับผู้ที่อยากพัฒนาคุณภาพชีวิต คลิกที่นี่
สำหรับผู้ที่อยากพัฒนาคุณภาพชีวิต คลิกที่นี่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น