วันพุธที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ความโชคดีในชีวิตของคนเรา

ทุกวันนี้พวกเราพูดคำว่า "โชคดี" บ่อยแค่ไหน และพวกเราพูดคำว่า "โชคร้าย" บ่อยแค่ไหน ทั้ง 2 คำนี้คุณพูดคำไหนบ่อย ชีวิตคุณจะเป็นแบบนั้น ลองสังเกตุดูสิครับ



ยิ่งคุณพูดคำว่า "โชคร้าย" มากเท่าใดโชคร้ายจะมาหาคุณมากขึ้นเท่านั้นและส่วนใหญ่ก็จะเป็นแบบนั้นจริงๆ ทำไมน่ะหรอครับ ก็เพราะคุณเป็นคนคิด และเอ่ยปากเรียกมันมาหาคุณเองนิครับ

ถ้าคุณอยากทำให้ชีวิตคุณมีความสุข ยิ้มและสนุกได้ทุกวัน ให้เปลี่ยนคำว่า "โชคร้าย" ที่คุณพูดบ่อยๆเป็น "โชคดี" สิครับ

ลองสังเกตุคนที่ประสบความสำเร็จหรือคนที่ร่ำรวย แล้วคุณจะได้ยินคำว่า "ผมโชคดีที่ผ่าน.......มาได้" ส่วนใหญ่พวกเขาจะขึ้นต้นประโยคด้วยคำว่า "ผมโชคดีที่...." บ่อยมากๆ แล้วเขาก็โชคดีร่ำรวยและประสบความสำเร็จจริงๆ

จากจุดที่ผมสังเกตุได้ข้างต้น มันทำให้เกิดความคิดที่ต่อยอดไปอีกขั้นนึงทำให้ผมสังเกตุได้อีกว่า 

"คนสำเร็จนั้น เก่งมองเรื่องในอดีตเป็นประสบการณ์ และเก่งในคิดว่าจะต้องมีเรื่องดีๆเกิดขึ้น ต้องมีเรื่องดีๆเข้ามาในชีวิตแน่นอน"

กลับกันนั้น

"คนส่วนใหญ่ เก่งมองเห็นแต่เรื่องร้ายๆในอดีต และเก่งในการคาดการณ์ว่าเรื่องร้ายๆจะเข้ามาในชีวิต"

คุณเคยได้ยินประโยค "เกลียดอะไรได้อย่างนั้น" ไหม รู้ไหมครับว่าทำไมมันถึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะว่าเวลาเราเกลียดอะไร เราไม่ยอมทิ้งมันไปจาก "ความคิด" เราเลย

เมื่อเราไม่ยอมทิ้งมัน ก็ทำให้เราคิดวนๆอยู่นั้นแหละ ว่าจะต้องเจอสิ่งที่เกลียดอีกแน่ๆ แล้วคุณก็จะเจอจริงๆ ทำไมน่ะหรอครับ ก็เพราะ "คุณเป็นคนคิด และเอ่ยปากเรียกมันมาหาคุณเอง" ใช่ไหมล่ะครับ

ลองเอาคำว่าโชคร้ายและเรื่องไม่ดีต่างๆออกไปจากความคิดเรา แล้วใส่คำว่าโชคดีและเรื่องดีๆเข้าไปแทน และพูดคำว่า "ผมโชคดีที่..." "ชั้นโชคดีที่....." หรือคิดในใจว่า "โชคดีจริงๆที่เจอ/พบ/คุย/เปลี่ยนใจ...."

โลกนี้ไม่มีอะไรน่ากลัวเท่าความคิดคนเราหรอกครับ เพราะใครก็บงการเราไม่ได้ เท่าความคิดของเราเอง คิดให้ทุกข์คุณจะได้รับความทุกข์ก็จะกลับมา คิดให้สบายใจคุณจะได้รับความสบายใจกลับมา

ผมโชคดีจริงๆครับ ที่ได้มาเขียน Blog หรือบทความดีๆที่นี่ Happy Business Thinking ครับ

สำหรับผู้ที่อยากพัฒนาคุณภาพชีวิต คลิกที่นี่


วันจันทร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

พลังแห่งความฝัน

คุณคิดว่าความฝันสำคัญไหม คุณเคยมีความฝันไหม ถ้ามีความฝันแล้วคุณฝันใหญ่หรือฝันเล็ก แล้วคุณเคยทำตามความฝันของคุณได้แค่ไหน


เมื่อสมัยเด็กเราเคยฝันอยากที่จะบินได้ อยากเป็นหมอ อยากเป็นฮีโร่ต่างๆ มากมายใช่ไหมครับ แต่คุณเคยสงสัยไหมครับ ว่าพอโตขึ้นมาความฝันเหล่านั้นหายไปไหน บางคนทำแต่งานจนลืมความฝันของตัวเอง บางคนก็ผิดหวังจนไม่กล้าที่จะฝันอีก เรื่องนี้มันมีที่มาครับ

ลองนึกย้อนวัยไปในสมัยเด็กดู ว่าคุณเคยฝันที่จะเป็นอะไรบ้าง โดยไม่ต้องสนใจเรื่องราวในปัจจุบันนะครับ แล้วลองนึกดูว่าตอนที่คุณได้ฝันนั้นมีความสุข รู้สึกสนุกขนาดไหน จนจำความรู้สึกนั้นไว้นะครับ

ตอนเด็กเราเคยฝันใหญ่ แต่ทำไมพอโตขึ้นมาความฝันเราถึงเล็กลง หรือบางคนไม่กล้าที่จะฝันด้วยซ้ำ เรื่องของเรื่องคือ "ความจริง" และ "ความคิดลบ" จากสังคมรอบข้างที่เข้ามาในชีวิตนั้นเอง

เมื่อเราต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่เรียกว่า "ความจริง" และมี "ความคิดลบ" เป็นตัวกระตุ้น และคนส่วนใหญ่จะเจอคำว่า "ทำไม่ได้" หรือสมัยนี้มีคำว่า "มโน" เข้ามาเกี่ยวข้อง มันเลยเป็นที่มาของคำว่า "ลดขนาดฝันลง" และบางคนถึงกับ "ไม่กล้าที่จะฝัน"

"ความจริง" ที่ผมกล่าวมาข้างต้นคือ "เงินเดือน" "ลักษณะงานที่ทำ" "เวลาว่าง" และอื่นๆ ที่เป็นกรอบครอบตัวเราอีกที บวกกับภาวะทางสังคมที่ส่วนใหญ่คิดลบ ถึงไม่แปลกที่เราเลือกที่จะ "ลดขนาดความฝันลง" ให้เท่ากับ "เงินเดือน" "เวลาว่าง" และปัจจัยอื่นๆ 

โดยส่วนมากคนส่วนใหญ่จะคิดว่า "แค่นี้ก็อยู่ได้" ชีวิตของเขาถึงอยู่แค่นั้น เพราะว่าคำว่า "แค่นี้ก็อยู่ได้" ทำให้สมองพอใจและไม่คิดที่จะหาทางออกเพิ่ม หรือทำให้ชีวิตนั้นดีขึ้นกว่าเดิม

หากเราลองคิดว่า "เราทำได้ดีกว่านี้" "ตอนนี้ก็ดีอยู่ แต่เราอยากดีขึ้นกว่านี้" สมองเราจะคิดหาทางโดยอัตโนมัติว่า เราต้องทำอย่างไร ถึงจะได้ตามที่เราคิด ยิ่งเรามี "ความฝัน" แบบไม่จำกัดขนาด ตั้ง "เป้าหมาย" แบบกำหนดเวลาไว้ และให้ "กำลังใจ" แก่ตัวเองโดยไม่ย่อท้อต่อความฝันและเป้าหมายที่กำหนดไว้ คุณจะไปถึงฝันแน่นอน

แต่ระหว่างทางก็ต้องมีอุปสรรคแน่นอน แต่อุปสรรคหรือปัญหาเหล่านั้น ไม่ใช่สิ่งที่เรียกว่า "ของตาย" เพราะหากคุณแก้มันได้สำเร็จ และปัญหาเดิมมาเข้ามาอีก คุณจะก้าวข้ามไปแบบสบายๆเลย เมื่อคุณก้าวข้ามไปแบบสบายๆมันจะกลายเป็นแค่ "ถนนสายนึง" ที่พาคุณไปสู่ความสำเร็จในเรื่องนั้นๆ

"ความฝัน" เป็นของ "ฟรี" ที่ "ใครๆ" ก็ฝันได้ อย่าลดขนาดความฝันของตัวเอง เมื่อคุณฝันเป็น ฝันโดยไม่สนใจข้อจำกัดใด ให้เอามันมาตั้งเป็น "เป้าหมาย" แล้วทำตามเป้าหมายอย่างไม่ย่อท้อแล้ว "วิธีการ" มันจะมาเอง

เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง สามารถพิสูจน์ได้จาก "พี่น้องตระกูลไรท์" พวกเขามีความฝันที่จะบินได้ และพวกเขาอยากบินขึ้นไปบนท้องฟ้าจริงๆ เมื่อพวกเขามีความฝัน จึงนำมาตั้งเป็นเป้าหมายและทำตามอย่างไม่ย่อท้อ ตอนนั้นพวกเขาไม่รู้วิธีการหรอกครับ แต่เมื่อเขาต้องการที่จะทำให้มันเป้นจริง วิธีการจึงมาหาพวกเขา 

และในที่สุดพวกเขาก็บินได้จริงๆ หากพวกเขาไม่กล้าฝันที่จะบินในตอนนั้น โลกเราในตอนนี้ก็คงไม่มีเครื่องบินอย่างแน่นอน จริงไหมครับ

จำไว้นะครับ "ความฝันเป็นของฟรี ฝันใหญ่หรือฝันเล็กก็ฟรี ทำไมเราถึงไม่ฝันใหญ่ๆไปเลยล่ะ"

สำหรับผู้ที่อยากพัฒนาคุณภาพชีวิต คลิกที่นี่


วันศุกร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

พลังแห่งความคิดบวก

คิดบวก เป็นการฝึกสมองอย่างนึง เช่นเดียวกับการคิดลบ ก็เป็นการทำให้สมองไม่ทำงานความคิดนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่างครับ เช่น รวยจน อาชีพ และสิ่งอื่นๆอีกมากมาย

คุณอาจจะสงสัยว่า "อ่าวถ้าความคิดเป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง ทุกคนก็คงรวยไปหมดแล้วสิ เพราะคิดที่จะรวยง่ายมากๆ" เรื่องนี้มีที่มาครับ ทั้งนี้ผมจะยกตัวอย่างที่ผมเคยประสบมาด้วยตัวเอง

เมื่อ 4-5 ปีก่อน ผมทำงานเป็นพนักงานประจำอยู่บริษัทแห่งหนึ่ง ทุกๆวันผมจะต้องตื่นแต่เช้า ฝ่ารถติดไปทำงาน พักกลางวันก็ลงมาทานข้าว เลิกงานก็ฝ่ารถติดกลับบ้าน ชีวิตผมเป็นอยู่แบบนี้ประมาณครึ่งปีครับ จนกระทั้งผมเบื่อกับการทำงานแบบนี้

จุดเปลี่ยนอยู่ตรงที่ เมื่อเบื่อแล้วจะทำยังไงล่ะถึงจะหายเบื่อ ย้ายที่ทำงาน ? หรือย้ายสายงาน ? หรือออกมาทำธุรกิจเป็นของตัวเอง ? แล้วถ้าออกมาทำจะทำอะไรดีล่ะ ต้องเป็นสิ่งที่แตกต่าง สิ่งใหม่ๆจะได้ขายได้ ? แล้วถ้ามันขายไม่ได้แล้วเจ้งล่ะ ต้องเป็นหนี้อีก เห็นส่วนใหญ่บอกว่า 80% ของ SME ต้องปิดตัวลงภายใน 4-5 ปีแรกเลยนะ

สุดท้ายผมก็คิดไม่ออกเพราะกลัวเปิดแล้วเจ้ง เลยลองย้ายบริษัทแต่ยังอยู่ในสายงานเดิม สุดท้ายพอผมทำไปได้อีก 3 เดือนผมก็เบื่ออีก

เห็นภาพไหมครับผมคิดว่า "ถ้าขายไม่ได้" นั้นเป็นพลังของความคิดลบและมี "ความกลัวเจ้ง" เป็นตัวพลักดัน เมื่อมีความกลัวเป็นตัวพลักดัน ก็เเหมือนเป็นเชื่อไฟให้ความคิดลบทำงานต่อไปเรื่อยๆ จนสมองคิดหาทางออกไม่ได้ สุดท้ายเลยต้องกลับมาทำงานแบบเดิมแค่ย้ายบริษัทก็เท่านั้น

แต่ความกลัวสามารถทำให้หายไปได้ด้วย "ความรู้และข้อมูล" ตัวอย่างเช่น หากคุณจะเดินไปที่มืดๆภายในบ้านคนเดียว คุณคงกลัวที่จะชนข้าวชนของเพราะความมืด แต่ถ้าหากคุณเปิดไฟความกลัวจะหายไป เคยสงสัยไหมครับเพราะอะไร นั้นก็เพราะว่าคุณ "รู้" ว่าอะไรมันวางอยู่ตรงไหนเพราะคุณเห็นข้าวของของคุณ ใช่ไหมครับ

ผมเปรียบเทียบความคิดลบนั้นเป็นความมืด ความคิดบวกนั้นก็คงเป็นแสงสว่างนั้นเอง ทุกวันนี้คุณอยู่ในบ้านที่มืด หรือบ้านที่เปิดไฟสว่างทั้งบ้านครับ ? มาต่อกัน

หลังจากที่ผมเกิดอาหารเบื่อครั้งที่สอง ผมจึงเดินเข้าร้านหนังสือ เพื่อหาความรู้เพิ่มเติมหรือทำการเปิดไฟที่ล่ะดวงในความคิดของผม จนผมได้อ่านหนังสือจบไปจำนวนหลายเล่ม แต่เล่มโปรดของผมมีชื่อว่า The Secret

ครั้งแรกที่ผมซื้อมาอ่านจนจบ ผมคิดว่า "แค่ความคิดเนี้ยนะ จะเปลี่ยนชีวิตทั้งชีวิต ไม่มีทาง คนเขียนบ้าไปแล้วแน่ๆ" แต่ทุกวันนี้ผมเชื่อแล้วครับ ว่าความคิดสามารถเปลี่ยนชีวิตได้จริงๆ

เพราะว่าหลังจากนั้นผมก็คิดตลอดว่าอยากเปิดร้านขายของซักร้านโดยไม่สนใจความกลัวเจ้งหรืออื่นๆ เชื่อไหมครับ 1 เดือนหลังจากนั้นผมก็สามารถเปิดร้านได้จริงๆ และผมยังมีโอกาสได้เข้าไปอบรมหรือสัมนาต่างๆ มีเพื่อนเป็นเจ้าของธุรกิจมากมาย และที่สำคัญมันฟรีหรือถูกมากๆด้วย ทุกวันนี้ชีวิตผมมีแต่เรื่องสนุก ไม่น่าเบื่ออีกต่อไป

ผมถึงแปลกใจและนึกย้อนกลับไปตอนนั้นว่า "น่าจะเชื่อตั้งนานแล้วว่า ความคิดเปลี่ยนชีวิตได้จริงๆ"

สำหรับคนที่อยากทดลอง ผมแนะนำแบบนี้นะครับ 
1. หากระดาษมา 1 แผ่น
2. เขียนสิ่งที่คุณต้องการให้มันเป็นจริงภายใน 6 เดือนที่จะถึงนี้ เช่น อยากได้รถใหม่ อยากได้ทีวีใหม่ อยากได้แฟน(สำหรับคนโสดเท่านั้นนะ) ฯลฯ ตามที่ต้องการครับ วาดรูปหรือ print แปะก็ได้นะครับ เพื่อความชัดเจน
3. นำกระดาษแผ่นนั้น ไปแปะไว้ในห้องนอน ตรงไหนก็ได้ที่คุณตื่นมาแล้วคุณจะต้องเห็นมันทุกเช้า
4. เมื่อคุณเห็นกระดาษใบนี้ คุณต้องอ่านมันอย่างน้อย 1 รอบ และหลับตานึกถึงสิ่งที่คุณอยากได้ในกระดาษแผ่นนั้น นึกจนกว่าคุณจะรู้สึกว่าคุณเป็นเจ้าของมันจริงๆแล้ว มีความสุขที่ได้สัมพัสมันแล้ว จึงลืมตา แล้วกล่าวดังๆว่า "ขอบคุณ" ให้ความสุขเมื่อซักครู่นี้
5. คุณจะต้องรู้ตัวตลอดเวลาว่า "ห้ามคิดลบต่ออะไรก็ตามที่อยู่ในกระดาษแผ่นนั้น" เช่น เป็นไปไม่ได้ หรือ ชั้นก็เขียนๆมันไปเท่านั้น หรือ แค่อยากลองแต่มันไม่เป็นจริงหรอก
6. ทำข้อ 4-5 เป็นประจำทุกวัน แล้วรอดูผลลัพท์ครับ

ทั้งนี้แต่ล่ะคนอาจได้ไม่เท่ากัน เนื่องจากความคิดของคนเราไม่เหมือนกัน จึงต้องค่อยๆปรับ แต่เชื่อผมเถอะครับ มันได้แบบนั้นจริงๆนะ

สำหรับผู้ที่อยากพัฒนาคุณภาพชีวิต คลิกที่นี่