วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ปรับจุดโฟกัสของชีวิต

ทุกวันนี้คุณโฟกัสเรื่องอะไรอยู่ เรื่องไม่ดีเรื่องลบๆ หรือว่าสิ่งดีๆเรื่องบวกๆ ไม่ว่าจะเราโฟกัสสิ่งใดสิ่งนั้นจะเข้ามาหาเราเรื่อยๆ และไม่หยุดยั้งจนกว่าเราจะเปลี่ยนจุดโฟกัสของเราไป



สิ่งที่ผมประสบมากับตัวเองเลยคือ มีอยู่ช่วงนึงผมโฟกัสแต่รถเบนซ์ ไม่ว่าผมจะออกไปไหน หรือว่าอยู่ในรถกลางท้องถนน ผมจะเห็นแต่รถเบนซ์เยอะมากๆ จนต้องคิดว่า "เอ๋ มีคนรวยเพิ่มขึ้นหรือมีคนมีตังเพิ่มขึ้นมากขนาดนี้เลยหรอ"

แต่พอผมเปลี่ยนจุดโฟกัสใหม่เป็นรถธรรมดาๆ เชื่อไหมครับรถเบนซ์ได้หายไปอย่างรวดเร็ว ผมเจอรถเบนซ์น้อยมากเพียงแค่ 1-3 คัน ซึ่งผมเองก็แปลกใจเพราะว่าเมื่อเร็วๆนี้วันๆนึงต้องเจออย่างน้อย 10-20 คัน

ตอนแรกผมเองก็ไม่รู้ตัวว่าผมโฟกัสแบบนี้แต่พอตอนช่วงหลังจากที่ผมตั้งสติและค้นพบกับความมหัศจรรย์นี้ ผมเลยลองโฟกัสไปที่ความคิดแทน ไม่ว่าจะทำงาน ออกไปข้างนอก หรือไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามผมจะโฟกัสแต่สิ่งดีๆ

ถ้าจะถามว่ามีเรื่องไม่ดีเข้ามาไหม คำตอบคือมีครับ แต่ผมไม่เลือกที่จะโฟกัสมัน และไปโฟกัสเรื่องดีๆแทน อย่างเช่น ที่ผ่านมาเร็วๆนี้ได้มีลมพายุพัดแรงมาก จนต้นไม้ในบ้านผมหักลงมา 1 ต้น และรอบๆบ้านก็มีต้นไม้ต้นอื่นๆ ล้มมาพิงกำแพงหรือเอนมาโดนหลังคาบ้าน

ผลลัพท์มีอย่างเดียวคือต้องออกไปทำความสะอาด และเก็บกวาดต้นไม้ที่หัดและล้มเข้ามาในบ้านใช่ไหมครับ แต่ถ้าผมโฟกัสเรื่องลบๆ มันจะออกมาแบบนี้ "วันนี้ซวยจริงๆ พายุเข้า ต้นไม้ก็หักแถมยังต้องมาคอยตัดต้นไม้รอบๆบ้านอีก สวนก็รกเพราะพายุอีก"

แต่ถ้าเราโฟกัสเรื่องดีๆจะได้ "กำลังคิดจะทำความสะอาดสวนพอดี โชคดีจริงๆที่พายุพัดเข้ามา ทำให้รู้ว่าต้นไม้ต้นไหนในสวนอ่อนแอ ต้อนไม้รอบๆบ้านมันก้อขึ้นรกล่ะ ถือโอกาสตัดและทำความสะอาดเลยก็ล่ะกัน"

เห็นไหมครับว่าโฟกัสแบบไหนดีกว่ากัน และคิดแบบไหนมีพลังที่จะทำงานมากกว่ากัน และถ้าผมถามว่าคนส่วนใหญ่คิดแบบไหน ? คำตอบที่ได้คือแบบลบหรือแบบที่ไม่ให้พลังนั้นเอง แต่ถ้าเขารู้และหัดคิด หัดโฟกัสเรื่องดีๆ ให้พลังในการดำเนินชีวิตประจำวัน คุณว่าเขาจะคิดไหมครับ ? คำตอบคือถ้าเขารู้ เขาจะคิดแบบให้พลังแน่นอน แล้วทำไมเขาไม่คิดล่ะ ก็เพราะเขาไม่รู้ หรือเขารู้แต่เขาเคยชินกับความคิดแบบนั้นยังไงล่ะครับ

อย่าพึ่งเชื่อผม จนกว่าคุณจะได้ลองด้วยตัวคุณเอง แล้วพลังแห่งการดำเนินชีวิตจะเข้ามาหาคุณแบบไม่หยุดยั้งเลยครับ

สำหรับผู้ที่อยากพัฒนาคุณภาพชีวิต คลิกที่นี่


วันพุธที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ความโชคดีในชีวิตของคนเรา

ทุกวันนี้พวกเราพูดคำว่า "โชคดี" บ่อยแค่ไหน และพวกเราพูดคำว่า "โชคร้าย" บ่อยแค่ไหน ทั้ง 2 คำนี้คุณพูดคำไหนบ่อย ชีวิตคุณจะเป็นแบบนั้น ลองสังเกตุดูสิครับ



ยิ่งคุณพูดคำว่า "โชคร้าย" มากเท่าใดโชคร้ายจะมาหาคุณมากขึ้นเท่านั้นและส่วนใหญ่ก็จะเป็นแบบนั้นจริงๆ ทำไมน่ะหรอครับ ก็เพราะคุณเป็นคนคิด และเอ่ยปากเรียกมันมาหาคุณเองนิครับ

ถ้าคุณอยากทำให้ชีวิตคุณมีความสุข ยิ้มและสนุกได้ทุกวัน ให้เปลี่ยนคำว่า "โชคร้าย" ที่คุณพูดบ่อยๆเป็น "โชคดี" สิครับ

ลองสังเกตุคนที่ประสบความสำเร็จหรือคนที่ร่ำรวย แล้วคุณจะได้ยินคำว่า "ผมโชคดีที่ผ่าน.......มาได้" ส่วนใหญ่พวกเขาจะขึ้นต้นประโยคด้วยคำว่า "ผมโชคดีที่...." บ่อยมากๆ แล้วเขาก็โชคดีร่ำรวยและประสบความสำเร็จจริงๆ

จากจุดที่ผมสังเกตุได้ข้างต้น มันทำให้เกิดความคิดที่ต่อยอดไปอีกขั้นนึงทำให้ผมสังเกตุได้อีกว่า 

"คนสำเร็จนั้น เก่งมองเรื่องในอดีตเป็นประสบการณ์ และเก่งในคิดว่าจะต้องมีเรื่องดีๆเกิดขึ้น ต้องมีเรื่องดีๆเข้ามาในชีวิตแน่นอน"

กลับกันนั้น

"คนส่วนใหญ่ เก่งมองเห็นแต่เรื่องร้ายๆในอดีต และเก่งในการคาดการณ์ว่าเรื่องร้ายๆจะเข้ามาในชีวิต"

คุณเคยได้ยินประโยค "เกลียดอะไรได้อย่างนั้น" ไหม รู้ไหมครับว่าทำไมมันถึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะว่าเวลาเราเกลียดอะไร เราไม่ยอมทิ้งมันไปจาก "ความคิด" เราเลย

เมื่อเราไม่ยอมทิ้งมัน ก็ทำให้เราคิดวนๆอยู่นั้นแหละ ว่าจะต้องเจอสิ่งที่เกลียดอีกแน่ๆ แล้วคุณก็จะเจอจริงๆ ทำไมน่ะหรอครับ ก็เพราะ "คุณเป็นคนคิด และเอ่ยปากเรียกมันมาหาคุณเอง" ใช่ไหมล่ะครับ

ลองเอาคำว่าโชคร้ายและเรื่องไม่ดีต่างๆออกไปจากความคิดเรา แล้วใส่คำว่าโชคดีและเรื่องดีๆเข้าไปแทน และพูดคำว่า "ผมโชคดีที่..." "ชั้นโชคดีที่....." หรือคิดในใจว่า "โชคดีจริงๆที่เจอ/พบ/คุย/เปลี่ยนใจ...."

โลกนี้ไม่มีอะไรน่ากลัวเท่าความคิดคนเราหรอกครับ เพราะใครก็บงการเราไม่ได้ เท่าความคิดของเราเอง คิดให้ทุกข์คุณจะได้รับความทุกข์ก็จะกลับมา คิดให้สบายใจคุณจะได้รับความสบายใจกลับมา

ผมโชคดีจริงๆครับ ที่ได้มาเขียน Blog หรือบทความดีๆที่นี่ Happy Business Thinking ครับ

สำหรับผู้ที่อยากพัฒนาคุณภาพชีวิต คลิกที่นี่


วันจันทร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

พลังแห่งความฝัน

คุณคิดว่าความฝันสำคัญไหม คุณเคยมีความฝันไหม ถ้ามีความฝันแล้วคุณฝันใหญ่หรือฝันเล็ก แล้วคุณเคยทำตามความฝันของคุณได้แค่ไหน


เมื่อสมัยเด็กเราเคยฝันอยากที่จะบินได้ อยากเป็นหมอ อยากเป็นฮีโร่ต่างๆ มากมายใช่ไหมครับ แต่คุณเคยสงสัยไหมครับ ว่าพอโตขึ้นมาความฝันเหล่านั้นหายไปไหน บางคนทำแต่งานจนลืมความฝันของตัวเอง บางคนก็ผิดหวังจนไม่กล้าที่จะฝันอีก เรื่องนี้มันมีที่มาครับ

ลองนึกย้อนวัยไปในสมัยเด็กดู ว่าคุณเคยฝันที่จะเป็นอะไรบ้าง โดยไม่ต้องสนใจเรื่องราวในปัจจุบันนะครับ แล้วลองนึกดูว่าตอนที่คุณได้ฝันนั้นมีความสุข รู้สึกสนุกขนาดไหน จนจำความรู้สึกนั้นไว้นะครับ

ตอนเด็กเราเคยฝันใหญ่ แต่ทำไมพอโตขึ้นมาความฝันเราถึงเล็กลง หรือบางคนไม่กล้าที่จะฝันด้วยซ้ำ เรื่องของเรื่องคือ "ความจริง" และ "ความคิดลบ" จากสังคมรอบข้างที่เข้ามาในชีวิตนั้นเอง

เมื่อเราต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่เรียกว่า "ความจริง" และมี "ความคิดลบ" เป็นตัวกระตุ้น และคนส่วนใหญ่จะเจอคำว่า "ทำไม่ได้" หรือสมัยนี้มีคำว่า "มโน" เข้ามาเกี่ยวข้อง มันเลยเป็นที่มาของคำว่า "ลดขนาดฝันลง" และบางคนถึงกับ "ไม่กล้าที่จะฝัน"

"ความจริง" ที่ผมกล่าวมาข้างต้นคือ "เงินเดือน" "ลักษณะงานที่ทำ" "เวลาว่าง" และอื่นๆ ที่เป็นกรอบครอบตัวเราอีกที บวกกับภาวะทางสังคมที่ส่วนใหญ่คิดลบ ถึงไม่แปลกที่เราเลือกที่จะ "ลดขนาดความฝันลง" ให้เท่ากับ "เงินเดือน" "เวลาว่าง" และปัจจัยอื่นๆ 

โดยส่วนมากคนส่วนใหญ่จะคิดว่า "แค่นี้ก็อยู่ได้" ชีวิตของเขาถึงอยู่แค่นั้น เพราะว่าคำว่า "แค่นี้ก็อยู่ได้" ทำให้สมองพอใจและไม่คิดที่จะหาทางออกเพิ่ม หรือทำให้ชีวิตนั้นดีขึ้นกว่าเดิม

หากเราลองคิดว่า "เราทำได้ดีกว่านี้" "ตอนนี้ก็ดีอยู่ แต่เราอยากดีขึ้นกว่านี้" สมองเราจะคิดหาทางโดยอัตโนมัติว่า เราต้องทำอย่างไร ถึงจะได้ตามที่เราคิด ยิ่งเรามี "ความฝัน" แบบไม่จำกัดขนาด ตั้ง "เป้าหมาย" แบบกำหนดเวลาไว้ และให้ "กำลังใจ" แก่ตัวเองโดยไม่ย่อท้อต่อความฝันและเป้าหมายที่กำหนดไว้ คุณจะไปถึงฝันแน่นอน

แต่ระหว่างทางก็ต้องมีอุปสรรคแน่นอน แต่อุปสรรคหรือปัญหาเหล่านั้น ไม่ใช่สิ่งที่เรียกว่า "ของตาย" เพราะหากคุณแก้มันได้สำเร็จ และปัญหาเดิมมาเข้ามาอีก คุณจะก้าวข้ามไปแบบสบายๆเลย เมื่อคุณก้าวข้ามไปแบบสบายๆมันจะกลายเป็นแค่ "ถนนสายนึง" ที่พาคุณไปสู่ความสำเร็จในเรื่องนั้นๆ

"ความฝัน" เป็นของ "ฟรี" ที่ "ใครๆ" ก็ฝันได้ อย่าลดขนาดความฝันของตัวเอง เมื่อคุณฝันเป็น ฝันโดยไม่สนใจข้อจำกัดใด ให้เอามันมาตั้งเป็น "เป้าหมาย" แล้วทำตามเป้าหมายอย่างไม่ย่อท้อแล้ว "วิธีการ" มันจะมาเอง

เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง สามารถพิสูจน์ได้จาก "พี่น้องตระกูลไรท์" พวกเขามีความฝันที่จะบินได้ และพวกเขาอยากบินขึ้นไปบนท้องฟ้าจริงๆ เมื่อพวกเขามีความฝัน จึงนำมาตั้งเป็นเป้าหมายและทำตามอย่างไม่ย่อท้อ ตอนนั้นพวกเขาไม่รู้วิธีการหรอกครับ แต่เมื่อเขาต้องการที่จะทำให้มันเป้นจริง วิธีการจึงมาหาพวกเขา 

และในที่สุดพวกเขาก็บินได้จริงๆ หากพวกเขาไม่กล้าฝันที่จะบินในตอนนั้น โลกเราในตอนนี้ก็คงไม่มีเครื่องบินอย่างแน่นอน จริงไหมครับ

จำไว้นะครับ "ความฝันเป็นของฟรี ฝันใหญ่หรือฝันเล็กก็ฟรี ทำไมเราถึงไม่ฝันใหญ่ๆไปเลยล่ะ"

สำหรับผู้ที่อยากพัฒนาคุณภาพชีวิต คลิกที่นี่